วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประโยชน์ของการออกแบบหลักสูตร


ประโยชน์ของการออกแบบหลักสูตร


การออกแบบหลักสูตรที่ดีจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการศึกษา ฮอลล์ (Hall.1962 อ้างถึงใน ปราณี สังขะตะวรรธน์และสิริวรรณ ศรีพหล. 2545 : 97 – 98) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการออกแบบหลักสูตรไว้ ดังนี้

1.การออกแบบเป็นการเน้นที่เป้าหมาย จุดหมาย และวัตถุประสงค์ของงานเป็นสำคัญ การออกแบบหลักสูตรจึงเป็นการสร้างความมั่นใจว่าหลักสูตรที่สร้างขึ้น สามารถนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ หรือจุดหมายของการจัดการศึกษานั้นได้

2.การออกแบบหลักสูตรที่ดีช่วยเพิ่มโอกาสของความสำเร็จในการจัดการศึกษา การออกแบบเป็นการจัดองค์ประกอบหลักสูตรทั้ง 4 ที่จะเป็นแนวทางให้กับผู้ใช้หลักสูตรได้ดำเนินการ โดยเริ่มตั้งแต่การศึกษาวัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย การให้สาระความรู้ที่จำเป็น วิธีการนำเสนอสาระความรู้ หรือ แนวการดำเนินการเรียนการสอน และการประเมินผลหรือการตัดสินว่าผู้เรียนได้บรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่เพียงใด

3.การออกแบบช่วยประหยัดเวลาและแรงงาน การออกแบบเป็นการสร้างพิมพ์เขียว เพื่อให้ผู้ใช้หลักสูตรได้เห็นประสบการณ์ที่จำเป็นที่ผู้เรียนต้องได้รับ การกำหนดรูปแบบต่าง ๆ การกำหนดวิธีการนำหลักสูตรไปใช้ การกำหนดทิศทางรูปแบบการเรียนการสอน ช่วยให้ผู้ใช้หลักสูตรมีความเข้าใจในกระบวนการต่าง ๆ สามารถนำไปปฏิบัติและประยุกต์ใช้ได้

4.การออกแบบที่ดีช่วยในการสื่อสารและประสานงาน นักออกแบบที่สามารถออกแบบหลักสูตร เอกสารการสอน และคู่มือต่าง ๆ ช่วยเพิ่มความเข้าใจในการนำหลักสูตรไปใช้ โดยอาจจะไม่ต้องใช้เวลามาจัดอบรม เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตร และการนำหลักสูตรไปใช้

5.การออกแบบช่วยลดภาวะความตึงเครียด เนื่องจากการออกแบบหลักสูตรเป็น การวางแผนสำหรับการจัดการศึกษาที่มีเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน การออกแบบหลักสูตรเป็นการสร้างพิมพ์เขียวจากสิ่งที่เป็นนามธรรมไปสู่สิ่งที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างไม่ยุ่งยาก

            จากการศึกษาทำให้เกิดความรู้ พอสรุปได้ดังนี้ การออกแบบหลักสูตรเป็นการสร้างความมั่นใจว่าหลักสูตรที่สร้างขึ้นสามารถนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ เป็นการสร้างพิมพ์เขียว เพื่อให้ผู้ใช้หลักสูตรได้เห็นประสบการณ์ที่จำเป็นที่ผู้เรียนต้องได้รับ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จหรือจุดหมายของการจัดการศึกษานั้นได้ การออกแบบหลักสูตรที่ดีช่วยเพิ่มโอกาสของความสำเร็จในการจัดการศึกษา

วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ วันที่ 22 สิงหาคม 2556


การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

การศึกษาของวันที่ 22 สิงหาคม 2556 เป็นการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของการออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (learner– centered designs) ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มองถึงประโยชน์ของผู้เรียนเป็นสำคัญ คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของผู้เรียน โดยหลีกเลี่ยงหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชาเป็นตัวตั้ง  การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จัดได้หลายประเภท ดังนี้

2.1 หลักสูตรเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (child – centered designs) หลักสูตรได้แนวคิดมาจากรุสโซ (Rousseau) ในต้นศตวรรษที่ 18 ที่ว่าเด็กควรจะได้ศึกษาถึงธรรมชาติที่อยู่แวดล้อมตัวซึ่งสอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของเขา นักการศึกษาที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ เช่น จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) เฟเดอริค ฟรอเบล (Friedrich Froebel) และเปสตาลอสซี่ (Pestalozzi) เป็นต้น การจัดเนื้อหาของหลักสูตรแบบนี้จะมีการบูรณาการเนื้อหาของวิชาต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยเน้นไปที่ประสบการณ์หรือปัญหาสังคม ความจำเป็นของชีวิต ทักษะชีวิต การปรับตัว และประสบการณ์ตรงของผู้เรียน ดังตัวอย่าง หลักสูตร Skills for Growing สำหรับระดับชั้น k – 5 ที่พัฒนาโดย W.K.Kellogg Foundation ภายใต้การสนับสนุนของ the National Association of Elementary School Principals and the National PTA หลักสูตรแบ่งเนื้อหาเป็น 5 หน่วยการเรียน ดังนี้ (Lion – guest.2007)

หน่วยการเรียนที่ 1 : การสร้างชุมชนในโรงเรียน

หน่วยการเรียนที่ 2 : เติบโตเพื่อเป็นสมาชิกของกลุ่ม

หน่วยการเรียนที่ 3 : การตัดสินใจเชิงบวก

หน่วยการเรียนที่ 4 : การเจริญเติบโตเพื่อสุขภาพที่ดี

หน่วยการเรียนที่ 4 : การเคารพซึ่งกันและกัน

ข้อดีของหลักสูตรนี้ คือ มีการผสมผสานกันระหว่างการเรียนรู้กับเนื้อหา สิ่งที่เรียนมีความสัมพันธ์กับปัญหาชีวิต และความสนใจของผู้เรียน ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์และใช้กระบวนการแก้ปัญหาของตนเอง ส่วนข้อจำกัด คือ การจัดหลักสูตรที่ยึดความสนใจของผู้เรียนเป็นตัวตั้ง จะไม่สามารถรับประกันได้ว่าความต้องการของผู้เรียนจะเป็นไปตามที่สังคมต้องการหรือไม่และเป็นความยุ่งยากของสถานศึกษาที่จะจัดหลักสูตรให้สอดคล้องกับผู้เรียนทุกคน

2.2 หลักสูตรเน้นประสบการณ์ (experience – centered designs) เป็นหลักสูตรที่มีลักษณะคล้ายหลักสูตรเน้นกระบวนการ พัฒนามาจากแนวคิดของจอห์น ดิวอี้ ที่เน้นการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติของผู้เรียน กิจกรรมและประสบการณ์ต่าง ๆ ควรจัดขึ้นตามความสนใจและความต้องการของผู้เรียน จึงจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันจะนำไปสู่การเรียนรู้และประสบการณ์อื่น ๆ ข้อดีของหลักสูตรนี้คือ ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ นำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน

2.3 หลักสูตรแบบจิตนิยม (romantic /radical designs) เป็นหลักสูตรที่เน้นความเป็นธรรมชาติของผู้เรียน ให้ความสำคัญของบุคคลแต่ละคนว่าทุกคนมีอิสระในการเลือก สามารถกำหนดชีวิตของตนเองได้ เน้นความมีเสรีภาพอันสมบูรณ์และความเป็นเอกัตบุคคลของแต่ละคน หลักสูตรควรช่วยให้ผู้เรียนสามารถปรับตัว ตัดสินใจกระทำสิ่งต่างๆได้ กล้ายอมรับในสิ่งที่ตนทำตลอดจนสามารถแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นได้ การเรียนการสอนเน้นผู้เรียนให้รู้จักปัญหาและได้ฝึกฝนให้ทำในสิ่งที่ต้องออกไปเผชิญในชีวิตจริง นักการศึกษาที่มีแนวคิดลักษณะนี้ ได้แก่ เอ.เอส.นีล (A.S.Neil) อิวาน อิลลิช (Ivan Illich) และเปาโล แฟร์ (Paulo Freire) เป็นต้น

2.4 หลักสูตรมนุษยนิยม (humanistic designs) การออกแบบหลักสูตรประเภทนี้นิยมแพร่หลายในระหว่าง ค.ศ. 1960 – 1970 โดยได้รับแนวคิดของปรัชญาการศึกษาแบบอัตถิภาวะนิยม (existentialism) หลักสูตรเน้นด้านจิตใจ ความเป็นเอกัตบุคคล การพัฒนามโนทัศน์ของตนเอง การรู้จักตนเอง การควบคุมการเรียนรู้และพฤติกรรมด้วยตนเอง การรู้จักเห็นใจผู้อื่น นับถือตนเองและผู้อื่น เน้นการพัฒนาจิตพิสัย ควบคู่ไปกับพุทธิพิสัย หลักสูตรจะเพิ่มทางเลือกให้ผู้เรียนได้มีอิสระในการเลือก ยึดหลักการพัฒนาแบบองค์รวม นักการศึกษาที่มีแนวคิดเช่นนี้ ได้แก่ อับบราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) และ คาร์ล โรเจอรส์ (Carl Rogers) ข้อบกพร่องของหลักสูตรแบบนี้ คือ การจัดการเรียนการสอนต้องเป็นครูที่มีทักษะ มีความสามารถที่จะทำงานกับผู้เรียน เป็นรายบุคคล

                ออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (learner– centered designs) ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มองถึงประโยชน์ของผู้เรียนเป็นสำคัญ คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของผู้เรียน โดยหลีกเลี่ยงหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชาเป็นตัวตั้ง 

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บันทึกการเรียนรู้นอกชั้นเรียน วันที่ 17 สิงหาคม 2556 หลักสูตรท้องถิ่น


บันทึกการเรียนรู้นอกชั้นเรียน

การศึกษาของวันที่ 17 สิงหาคม 2556 ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องความหมายของหลักสูตรท้องถิ่นซึ่งมีความสำคัญที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาท้องถิ่นให้มีคุณภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น

หลักสูตรท้องถิ่น  หมายถึง ประสบการณ์การเรียนรู้ที่จัดให้กับกลุ่มผู้เรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่จัดตามสภาพปัญหาและความต้องการของผู้เรียนในท้องถิ่นนั้นๆ  เป้าหมายหลัก คือ ต้องการให้ผู้เรียนได้นำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้เรียนให้ดีขึ้น (เขียนโดย อัญชลี  ธรรมะวิธีกุล   ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ  2552)

            กองพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน (2543 : 3 ) ได้ให้ความหมายหลักสูตรท้องถิ่นไว้คือ หลักสูตรที่สร้างขึ้นจากสภาพปัญหาและความต้องการของผู้เรียน  หลักสูตรท้องถิ่นจะสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของท้องถิ่นนั้นๆ เป็นการเรียนรู้จากภูมิปัญญาที่มีอยู่ในท้องถิ่น  ผู้เรียนแสวงหาองค์ความรู้ที่ตอบสนองกับวิถีชีวิตของตนเอง  ปรับตนเองให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคโลกาภิวัตน์ผู้เรียนจะเรียนรู้ตามสภาพจริงของตนเอง  สามารถนำความรู้ไปใช้การพัฒนาตนเอง  ครอบครัว และชุมชนได้

            ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539:107) ได้กล่าวถึงความหมายของหลักสูตรท้องถิ่นว่า หมายถึงมวลประสบการณ์ที่สถานศึกษาหรือหน่วยงานและบุคคลในท้องถิ่นจัดให้แก่ผู้เรียนตามสภาพปัญหา และความต้องการของท้องถิ่นนั้น ๆ

           กรมวิชาการ (2536: 37) ให้ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นไว้ว่า การพัฒนาหลักสูตรในระดับท้องถิ่นเป็นกระบวนการของการนำหลักสูตรแม่บทไปสู่การปฏิบัติในห้องเรียนให้ได้ผลยิ่งขึ้น นับตั้งแต่การจัดทำรายวิชาขึ้นใหม่ การปรับใช้รายวิชาจากหลักสูตรแม่บท ตลอดจนการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนและกระบวนการสอน การวัดผลและการประเมินผล เพื่อให้จัดการเรียนการสอนเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรอันเป็นแนวนโยบายของชาติ

             จึงพอสรุปความหมายของหลักสูตรท้องถิ่นได้ว่า เป็นหลักสูตรที่สร้างขึ้นจากหลักสูตรแกนกลาง โดยนำมาเพิ่มหรือปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง ปัญหา และความต้องการของท้องถิ่น เพื่อผู้เรียนจะได้นำความรู้และประสบการณ์ไปใช้ในชีวิตจริง หรือเป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันความสำคัญของหลักสูตรท้องถิ่น 

 

 

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อบรมในหัวข้อเรื่องการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน


การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน

โดย บุญเรือง วุฒิวงศ์

รองผู้อำนวยการ สพป.นศ.3

                การศึกษาคือ กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานวัฒนธรรม

โดยเนื้อหาสาระ มีดังนี้

ความเป็นมา

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช2550

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542

ความหมายและคำนิยามแห่งการศึกษาที่ควรรู้

การศึกษา:กระบวนการเรียนรู้ เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานวัฒนธรรมฯลฯ

การศึกษาขั้นพื้นฐาน:การศึกษาระดับก่อนอุดมศึกษา

ครูจะต้องฝึกให้นักเรียนเจริญงอกงาม

เจริญ=ทำให้โตขึ้น ใหญ่ขึ้น

งอก=เพิ่มขึ้น

งาม=สวยขึ้น ดีขึ้น(คนเก่ง และดี)

การสืบสานวัฒนธรรม ทำให้ประเพณีต่างๆไม่สูญหายไป คนรุ่นหลังจะได้รู้และเข้าใจ

การศึกษาตลอดชีวิต:การศึกษาที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย

สถานศึกษา:สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรียน ศูนย์การเรียน วิทยาลัย สถาบัน มหาวิทยาลัย....ที่มีอำนาจหน้าที่หรือ วัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษา

การประกันคุณภาพ มี2ประเภท

1.การประกันคุณภาพภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษาหรือหน่วยงานต้นสังกัด จำเป็นต้องมีการประเมินทุกปี เพื่อประเมินคุณภาพภายใน

2.การประกันคุณภาพภายนอก โดยหน่วยงานภายนอก ประเมินทุกรอบ5ปี มื่อไม่ผ่านจะแจ้งให้ปรับปรุงภายใน2ปี ถ้าผ่าน=สามารถผลิตนักศึกษาที่มีคุณภาพ

ผู้สอน:ครูและคณาจารย์ในสถานศึกษา

ครู:บุคลากรวิชาชีพ ซึ่งทำหน้าที่หลักทางด้านการเรียนการสอน ในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน

ครูทำหน้าที่เป็นผู้สอน ในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน

คณาจารย์:บุคลากรซึ่งทำหน้าที่หลักทางด้านการสอน และการวิจัย ในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา

ระดับปริญญาของรัฐและเอกชน

อาจารย์ สอนในอุดมศึกษา

หลักการศึกษาตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ

1.เป็นการศึกษาตลอดชีวิต สำหรับประชาชน

2.ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา

3.การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง

ระบบการศึกษามี3รูปแบบ

1.การศึกษาในระบบ จะกำหนดช่วงระยะเวลาที่แน่นอน มีเกณฑ์การประเมิน

2.การศึกษานอกระบบ มีหลักสูตร เวลาเรียนไม่ตายตัว ยืดหยุ่นได้ กศน.

3.การศึกษาตามอัธยาศัย จัดตามความสนใจ ตามความต้องการของผู้เรียน

แนวการจัดการศึกษา

1.ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ

2.เน้นความสำคัญ ทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการตามความเหมาะสมแต่ละระดับ

3.ส่งเสริมและจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ

4.ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผลผู้เรียน

5.ให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน

 
                จากการจัดอบรมในครั้งนี้ในหัวข้อเรื่องการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานทำให้ได้รับความรู้ต่างๆมากมายทั้งเรื่องของความเป็นมาในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช2550 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ความหมายและคำนิยามแห่งการศึกษาที่ควรรู้ การศึกษาขั้นพื้นฐาน การประกันคุณภาพ ระบบการศึกษาแนวการจัดการศึกษา ซึ่งล้วนมีความจำเป็นอย่างมากในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บันทึกการเรียนรู้นอกชั้นเรียนวันที่ 8สิงหาคม 2556 อกุศลกรรมบถ 10


บันทึกการเรียนรู้นอกชั้นเรียน

การศึกษานอกชั้นเรียนของวันที่85 สิงหาคม 2556 ได้มีการศึกษาในเรื่องของอกุศลกรรม10ประการ ซึ่งอกุศลกรรมบถ 10 ประกอบด้วย

1. ปาณาติบาต ทำให้สัตว์ให้ตกล่าง คือ ฆ่าสัตว์

2. อทินนาทาน ถือ เอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วย อาการแห่งขโมย

3. กาเมสุ มิจฉาจาร ประพฤติผิดในกาม

4. มุสาวาท พูดเท็จ

5. ปิสุณาวาจา พูดส่อเสียด

6. ผรุสวาจา พูดคำหยาบ

7. สัมผัปปลาปะ พูดเพ้อเจ้อ

8. อภิชญา โลภอยากได้ของเขา

9. พยาบาท ปองร้ายเขา

10. มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดจากคลองธรรม

 

ผลของอกุศลกรรมบถในแต่ละข้อ

- ผลของการทำร้ายสิ่งมีชีวิต ฆ่าสัตว์ จะเป็นคนรูปร่างไม่งาม มีโรคมาก สุขภาพไม่ดี กำลังกายอ่อนแอ เฉื่อยชา กลัวอะไรง่าย หวาดระแวง มีอุบัติเหตุบ่อย ตายก่อนวัยอันควร อายุสั้น

- ผลของการขโมย ลักทรัพย์ ฉ้อโกง จะเกิดมาฐานะไม่ดี อดอยาก หวังอะไรไม่สมหวัง ทำธุรกิจไม่ประสบผลสำเร็จ ทรัพย์สินเสียหายพังพินาศ สิ่งของในครอบครองชำรุดเสียหาย

- ผลของการประพฤติผิดในกาม มีความต้องการทางเพศไม่ปกติ จะทำให้มีผู้เกลียดชัง เห็นหน้าแล้วก็ไม่ถูกชะตา เสียทรัพย์ไปเพราะกาม ถูกประจานได้รับความอับอายบ่อย ร่างกายไม่สมประกอบ วิตก ระแวงเกินปกติ พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก คนที่รักไม่ได้ ได้คนที่ไม่รัก พบแต่คนที่มีเจ้าของแล้วมาชอบ คู่มีตำหนิเช่นเจ้าชู้,หม้ายหรืออายุมาก

- ผลของการโกหก หลอกลวง มีจิตบิดเบี้ยวเข้าใจอะไรผิดง่ายๆ จะเป็นคนพูดไม่ชัด ฟันไม่เป็นระเบียบ ปากเหม็นแม้จะดูแลแล้ว ไอตัวร้อนจัด ตาไม่อยู่ในระดับปกติ ท่าทางไม่สง่าผ่าเผย แม้จะฉลาดเพียงไหนก็จะพบเหตุที่ต้องเสียรู้คนอื่น

- ผลของการพูดส่อเสียด ดูถูก จะเป็นคนชอบตำหนิตนเอง จะถูกลือโดยไม่มีความจริง แตกจากมิตรสหาย จะเกิดในตระกูลต่ำ

 

- ผลของการ พูดหยาบ จะเป็นคนอยู่ในสถานที่ได้ยินเสียงที่น่ารบกวนไม่สงบ ทั้งบ้านและที่ทำงาน มักหงุดหงิดรำคาญในเสียงต่างๆได้ง่าย มีผิวกายหยาบ น้ำเสียงหยาบ แก้วเสียงไม่ดี เสียงเป็นที่ระคายโสตประสาทของผู้อื่น

- ผลของการพูดเพ้อเจ้อ นินทา จะเป็นคนไม่มีเครดิต ไม่มีใครเกรงใจ เวลาพูดไม่มีใครสนใจฟัง เป็นคนไม่มีอำนาจ มีจิตฟุ้งซ่าน จิตหดหู่ สับสน

- ผลของการเพ่งเล็งอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตน จะเป็นผู้รักษาทรัพย์สมบัติ รักษาคุณงามความดีไม่ได้ เกิดในครอบครัวอาชีพที่ต่ำต้อย ต้องได้รับคำติเตียนบ่นด่าว่าบ่อย หวังสิ่งใดไม่สมหวัง เสี่ยงโชคยังไงก็ไม่ได้

- ผลของการคิดร้ายผู้อื่น ผูกพยาบาท จะเป็นคนมีโรคมาก ผิวพรรณและรูปร่างดวงตาไม่สวย มีโรคทรมาน ตายทรมาน โดนทำร้ายตาย

- ผลของ เห็นผิดจากความจริง เห็นกงจักรเป็นดอกบัว จะเกิดในถิ่นห่างไกลความเจริญ คนป่าคนดอย ด้อยการศึกษา ไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังธรรมะที่ทำให้ใจสงบให้ใจปล่อยวาง ชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายเหมือนเกิดมาว่างเปล่า หาแก่นสารมิได้

ส่วนบาปที่อยู่บอกเหนือ อกุศลกรรมบถ ก็จะมีเรื่องของศีลข้อที่ห้า คือการดื่มสุราเสพยาเสพติด

- ผลของการชอบดื่มสุราจนเมามาย เสพยาเสพติดกดประสาท กระตุ้นประสาท หลอนประสาท จะทำให้เป็นคนโดนหลอกง่าย ต้องอยู่ร่วมทำงานกับคนพาลชวนทะเลาะ รักษาทรัพย์รักษาชื่อเสียงไว้ไม่ได้ เรียงลำดับการพูดไม่รู้เรื่อง สติปัญญาและสมองไม่แจ่มใส

จากอกุศลกรรม10ประการ ข้างต้น คงจะเห็นว่าเป็นสิ่งที่เราไม่ควรกระทำสักนิด เพราะทำให้เกิดความเป็นทุกข์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น จะไม่มีทางเจริญก้าวหน้าในชีวิตอย่างแน่นอน จึงอยากจะแนะนำให้อยู่ห่างอกุศลกรรมเหล่านี้เอาไว้ แล้วชีวิตเราจะมีแต่ความสุข …

http://www.larnbuddhism.com/webboard/showthread.php?t=1074

http://www.oknation.net/blog/zaiseefa/2010/03/11/entry-2

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

พระราชบัญญัติลูกเสือฉบับใหม่ (พ.ศ.2551 )


สรุปสาระ พระราชบัญญัติลูกเสือฉบับใหม่ (พ.ศ.2551 )

ร่างพระราชบัญญัติลูกเสือพ.ศ.ได้ ผ่านการพิจารณาวาระ2และ3 จากที่ประชุมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้วเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2550 เวลา 20.00น โดยมีการขอแก้ไขเล็กน้อยในมาตรามาตรา17(12)และมาตรา38(8)โดยแก้ข้อความทั้ง 2มาตราจากเดิม

กำกับดูแลกิจการลูกเสือชาวบ้าน มา เป็น กำกับดูแลสนับสนุนและส่งเสริมกิจการลูกเสือชาวบ้าน

พระราชบัญญัติลูกเสือฉบับใหม่นี้จะได้นำเสนอให้ทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้ต่อไป คาดว่าคง มีผลบังคับใช้ได้ต้นปี2551

เหตุผลที่ต้องออกกฎหมาย

1. กฎหมายลูกเสือได้เริ่มพัฒนาจากการออกเป็นข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือ ไทยฉบับแรกเมื่อ1 ก.ค. 2454 หรือ 96ปีมา แล้ว ต่อมาได้ออกเป็นพระราชบัญญัติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 และได้ปรับปรุงอีก 3ครั้ง หลังจากการปฎิรูประบบราชการในปี2546 ทำให้กฎหมายลูกเสือไม่สอดคล้อง กับสถานการณ์ที่ได้เปลี่ยนไปหลายประการ

2. กฎหมายฉบับใหม่ ต้องการปรับการบริหารงานของลูกเสือ ให้สอดคล้องกับโครงสร้างใหม่ของกระทรวงศึกษาธิการที่ใช้มาเมื่อ7กรกฎาคม2546 ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติเดิมเป็นอธิบดีกรม พลศึกษา ต้องเปลี่ยนมาเป็นรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากได้โอนงานกองลูกเสือเดิม และงานสำนักงานคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติที่เคยอยู่ที่กรมพลศึกษา มาอยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

3. ต้องปรับการบริหารของคณะกรรมการลูกเสืออำเภอ ให้เป็นคณะกรรมการ เขตพื้นที่การศึกษาแทน เพื่อให้เป็นไปตามระบบกระจายอำนาจใหม่ของกระทรวงศึกษาธิการ

4 เพิ่ม สาระที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของสำนักงานคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติให้สอดคล้องกับสภาพจริง

ประโยชน์ของการออก พ.ร.บ. นี้

ช่วยส่งเสริมความเข้มแข็งของ กระบวนการลูกเสือที่ต้องการสร้างพลเมืองดี ให้เป็นไปตามพระราชปณิธานของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 6 และ

ปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระประมุขของคณะลูกเสือไทย รวมทั้งได้ทรงรับกิจการลูกเสือชาวบ้านไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ด้วย

สาระของพ.ร.บ.ลูกเสือฉบับใหม่

ประกอบด้วย 6 หมวด 74 มาตรา ได้แก่หลักการและนิยาม มาตรา 1 - 5 หมวด 1บททั่วไป มาตรา 6 – 10 หมวด 2 การปกครอง ส่วนที่ 1 สภาลูกเสือไทย มาตรา 11 – 14 ส่วนที่ 2 คณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติและสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ มาตรา 15 – 27 ส่วนที่ 3 ลูกเสือจังหวัดมาตรา 28 – 34 ส่วนที่ 4 ลูกเสือเขตพื้นที่มาตรา35 – 39 ส่วนที่5 ทรัพย์สินของสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ มาตรา 40 – 42 หมวด 3 การจัดกลุ่ม ประเภท และตำแหน่งของลูกเสือมาตรา 43 – 49 หมวด 4 ธง เครื่องแบบ และการแต่งกายมาตรา 50 – 52หมวด 5 เหรียญลูกเสือและการยกย่องเชิดชูเกียรติมาตรา 53 – 68 หมวด 6 บทกำหนดโทษมาตรา 69 – 70 และบทเฉพาะกาล มาตรา 71 – 74 สรุปสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ ได้แก่

1) เพิ่มคำนิยามลูกเสือ และบุคลากรทางการลูกเสือให้ชัดเจนขึ้น และได้รวมกิจการลูกเสือชาวบ้านไว้ด้วย

2) ปรับชื่อสภาลูกเสือแห่งชาติ เป็นสภาลูกเสือไทย เพื่อให้เป็นชื่อสากลที่ประเทศสมาชิกทั่วโลกจะระบุชื่อ ของประเทศไว้ด้วย และได้ปรับ องค์ประกอบของสภาลูกเสือไทยให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนชื่อหน่วยราชการไปตาม การปฏิรูประบบราชการเมื่อปี2546 เช่น ตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ จากอธิบดีกรมพลศึกษามาเป็นรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปรับชื่อตำแหน่งของ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เ ลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งหน่วยงานเหล่านี้ได้เปลี่ยนชื่อและภารกิจใหม่แล้ว และปรับให้มีหน่วยงานใหม่เพิ่มเข้ามาได้แก่ได้แก่ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคม ความมั่นคง และอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น

3. ปรับองค์ประกอบคณะกรรมการลูกเสือระดับจังหวัด เป็น ซึ่งต้องใช้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเขต1 เข้าไปแทนศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งปัจจุบันไม่มีตำแหน่งนี้

4. ต้องปรับการบริหารลูกเสืออำเภอที่มีอยู่เดิมโดยใช้เขตพื้นที่การศึกษาแทน ทำ ให้ต้อง ปรับองค์ประกอบคณะกรรมการและภารกิจของการบริหารลูกเสืออำเภอ มาเป็นการบริหารลูกเสือเขตพื้นที่การศึกษา

5. เดิมคณะลูกเสือแห่งชาติเป็นนิติบุคคล ทำให้สถานะของสำนักงานไม่ชัดเจน เนื่องจากในกฎหมายเดิมระบุว่าคณะลูกเสือแห่งชาติประกอบด้วยลูกเสือทั้งปวง ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ ผู้ตรวจการลูกเสือ และกรรมการเจ้าหน้าที่ลูกเสือ และระบุให้มีให้มีสำนักคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติเป็นหน่วยบริหาร จึงได้ปรับให้สำนักงานลูกเสือแห่งชาติซึ่งมีหน่วยงานนี้อยู่แล้ว เป็นนิติบุคคล ซึ่งยังคงอยู่ในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ โดยไม่ตั้งหน่วยงานใหม่ ไม่เพิ่มงบประมาณ

6. เพิ่มระบบการตรวจสอบและการจัดทำบัญชี เพื่อเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล

7. กำหนดให้รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการคนหนึ่งมาเป็นตำแหน่งเลขาธิการลูกเสือ โดยไม่มีเงินเดือน

8. การบริหารค่ายเป็นไปตามหลักการบริหารแนวใหม่ มอบให้ผู้อำนวยการลูกเสือจังหวัด(ผู้ว่าราชการจังหวัด) กำกับดูแล และ

9. ให้โอนทรัพย์สิน จากคณะลูกเสือแห่งชาติ ไปเป็นของสำนักงานคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ

วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บันทึกการเรียนรู้นอกชั้นเรียน วันที่3 สิงหาคม 2556 มงคลชีวิต


บันทึกการเรียนรู้นอกชั้นเรียน

การเรียนรู้ของวันที่3 สิงหาคม 2556 ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของมงคล ซึ่งก็คือเหตุแห่งความสุข ความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิต ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้พึงปฏิบัติ นำมาจากบทมงคลสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดาที่ถามว่า คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญหรือมี "มงคลชีวิต"  ซึ่งก็มี ๓๘ ประการได้แก่













































และได้อธิบายไว้บางประการ ดังนี้

๑. การไม่คบคนพาล

ท่านว่าลักษณะของคนพาลมี ๓ ประการคือ
๑.คิดชั่ว คือการมีจิตคิดอยากได้ในทางทุจริต มีความพยาบาท และมิจฉาทิฏฐิ คือเห็นผิดเป็นชอบ
๒.พูดชั่ว คือคำพูดที่ประกอบไปด้วยวจีทุจริตเช่น พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ
๓.ทำชั่ว คือทำอะไรที่ประกอบด้วยกายทุจริตเช่น การฆ่าสัตว์ ลักขโมย ฉ้อโกง ฉุดคร่าอนาจาร ประพฤติผิดในกาม

๒. การคบบัณฑิต

บัณฑิต หมายถึงผู้ทรงความรู้ มีปัญญา มีจิตใจที่งาม และมีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง รู้ดีรู้ชั่ว (ไม่ใช่คนที่จบปริญญาโดยนัย) มีลักษณะดังนี้ คือ

๑. เป็นคนคิดดี คือการไม่คิดละโมบ ไม่พยาบาทปองร้ายใคร รู้จักให้อภัย เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ความกตัญญูรู้คุณ
๒. เป็นคนพูดดี คือวจีสุจริต พูดจริง ทำจริงไม่โกหก ไม่พูดหยาบ ถากถาง นินทาว่าร้าย
๓. เป็นคนทำดี คือทำอาชีพสุจริต มีเมตตา ทำทานเป็นปกตินิสัย อยู่ในศีลธรรม ทำสมาธิภาวนา

๓. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา

การบูชา คือการแสดงความเคารพบุคคลที่เรานับถือ ยกย่อง เลื่อมใสในบุคคลคนนั้น

บุคคลที่ควรบูชา มีดังนี้คือ
๑.พระพุทธเจ้า (คงไม่ต้องอธิบาย)
๒.พระปัจเจกพระพุทธเจ้า หมายถึงพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
๓.พระมหากษัตริย์ผู้ตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม
๔.บิดามารดา
๕.ครูอาจารย์ ที่มีความรู้ดี มีความสามารถ และประพฤติดี
๖.อุปัชฌาย์ หรือผู้บังคับบัญชาที่มีความประพฤติดี ตั้งอยู่ในธรรม

๔. การอยู่ในถิ่นอันสมควร

ถิ่นอันสมควรควรประกอบด้วยสิ่งแวดล้อม ๔ อย่างได้แก่
๑.อาวาสเป็นที่สบาย หมายถึงอยู่แล้วสบาย เช่นสะอาด เดินทางไปมาสะดวก อากาศดี เป็นแหล่งชุมชน ไม่มีแหล่งอบายมุข
๒.อาหารเป็นที่สบาย หมายถึงอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ เช่นมีแหล่งอาหารที่สามารถจัดซื้อหามาได้ง่าย
๓.บุคคลเป็นที่สบาย หมายถึงที่ที่มีคนดี จิตใจโอบอ้อมอารี ถ้อยทีถ้อยอาศัย มีศีลธรรม ไม่มีโจร นักเลง หรือใกล้แหล่งอิทธิพล
๔.ธรรมะเป็นที่สบาย หมายถึงมีที่พึ่งด้านธรรมะ มีที่ฟังธรรมเช่น มีวัดอยู่ในละแวกนั้น มีโรงเรียน หรือแหล่งศึกษาหาความรู้

๕. เคยทำบุญมาก่อน

การทำบุญนั้นมีหลายวิธี แต่พอสรุปได้สั้นๆดังนี้คือ
๑.การทำทาน
๒.การรักษาศีล
๓.การเจริญภาวนา

๖. การตั้งตนชอบ

หมายถึงการดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมาย ด้วยความถูกต้องและสุจริต อยู่ในสัมมาอาชีพ มีแผนการที่จะไปให้ถึงจุดหมายนั้นด้วยความไม่ประมาท มีการเตรียมพร้อม และมีความอดทนไม่ละทิ้งกลางคัน

๗. ความเป็นพหูสูต

คือเป็นผู้ที่ฟังมาก เล่าเรียนมาก เป็นผู้รอบรู้ โดยมีลักษณะดังนี้คือ
๑.รู้ลึก คือการรู้ในสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆอย่างหมดจดทุกแง่ทุกมุม อย่างมีเหตุมีผล รู้ถึงสาเหตุจนเรียกว่าความชำนาญ
๒.รู้รอบ คือการรู้จักช่างสังเกตในสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่นเหตุการณ์แวดล้อมเป็นต้น
๓.รู้กว้าง คือการรู้ในสิ่งใกล้เคียงกับเรื่องนั้นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน สัมพันธ์กันเป็นต้น
๔.รู้ไกล คือการศึกษาถึงความเป็นไปได้ ผลในอนาคตเป็นต้น

๙. มีวินัยที่ดี

วินัย ก็คือข้อกำหนด ข้อบังคับ กฎเกณฑ์เพื่อควบคุมให้มีความเป็นระเบียบนั่นเอง มีทั้งวินัยของสงฆ์และของคนทั่วไป สำหรับของสงฆ์นั้นมีทั้งหมด ๗ อย่างหรือเรียกว่า อนาคาริยวินัย ส่วนของบุคคลทั่วไปก็มี ๑๐ อย่าง คือการละเว้นจากอกุศลกรรม ๑๐ ประการ

๑๐.กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต

คำว่าวาจาอันเป็นสุภาษิตในที่นี้มิได้หมายถึงเพียงว่า ต้องเป็นคำร้อยกรอง ร้อยแก้ว เป็นคำคมบาดใจมีความหมายลึกซึ้งเท่านั้น แต่รวมถึงคำพูดที่ดี มีประโยชน์ต่อผู้ฟัง ซึ่งสรุปว่าประกอบด้วยลักษณะดังนี้
๑.ต้องเป็นคำจริง
๒.ต้องเป็นคำสุภาพ
๓.พูดแล้วมีประโยชน์
๔.พูดด้วยจิตที่มีเมตตา
๕.พูดได้ถูกกาลเทศะ

จากการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของมงคล ซึ่งก็คือเหตุแห่งความสุข ความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิต ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้พึงปฏิบัติ นำมาจากบทมงคลสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดาที่ถามว่า คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญหรือมี "มงคลชีวิต" ก็ ๓๘ ประการ ซึ่งควรค่าแก่การปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
ที่มา http://www.salatham.com/do-donts/38virtues.htm