1. ข้อใด คือคุณสมบัติที่สำคัญของหลักสูตร
ก. มีความเป็นพลวัตปรับเปลี่ยนทางสังคม
ข. มีความเป็นเอกภาพ มีความเหมาะสมทุกสถานการณ์
ค. เป็นข้อสรุปของนักวิชาการทุกสาขาแล้ว
ง. สังคมจะเปลี่ยนแปลง หลักสูตรสามารถคงอยู่ได้
ตอบข้อ ก. มีความเป็นพลวัตปรับเปลี่ยนทางสังคม
2. การพัฒนาหลักสูตร ต้องดำเนินการตามข้อใด
ก. กำหนดเป้าหมาย
ข. เลือกกิจกรรมและวัสดุประกอบการเรียนการสอน
ค. กำหนดระบบที่เหมาะสมในการจัดการเรียนการสอน
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบข้อ ง. ถูกทุกข้อ
3. ข้อใด ไม่ต้องคำนึงถึงในหลักการพัฒนาหลักสูตร
ก. ผู้เชี่ยวชาญมีความสามารถ
ข. ความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้อง
ค. สิ่งที่ผู้ดำเนินงานจะได้รับ
ง. ฝึกอบรมครูประจำการ
ตอบข้อ ค. สิ่งที่ผู้ดำเนินงานจะได้รับ
4. การจัดทำหลักสูตร ระดับประถมศึกษา ในสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เป็นหน้าที่ของการพัฒนาหลักสูตรในข้อใด
ก. หลักสูตรระดับชาติ
ข. หลักสูตรระดับท้องถิ่น
ค. หลักสูตรระดับห้องเรียน
ง. หลักสูตรระดับเขตพื้นที่การศึกษา
ตอบข้อ ก. หลักสูตรระดับชาติ
5. ข้อใด ไม่ใช่ หน้าที่รับชอบของ “ศูนย์หลักสูตร”
ก. จัดทำเอกสารประกอบหลักสูตร
ข. ปรับปรุงหลักสูตร
ค. ฝึกอบรมในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้
ง. จัดทำคู่มือครู
ตอบข้อ ค. ฝึกอบรมในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้
6. ข้อใดคือ ประโยชน์ ที่เกิดจากการพัฒนาหลักสูตร สำหรับครูผู้สอน
ก. พัฒนาการศึกษาให้สอดคล้องความเจริญของสังคมและของโลก
ข. สามารถจัดการเรียนการสอนให้บรรลุวัตถุประสงค์
ค. ระบบการศึกษาก้าวหน้าทันต่อการเปลี่ยนแปลง
ง. ประพฤติตนเป็นพลเมืองดีของสังคม
ตอบข้อ ข. สามารถจัดการเรียนการสอนให้บรรลุวัตถุประสงค์
7. องค์ประกอบในการพัฒนาหลักสูตร ไม่ควรคำนึงถึงข้อใด
กง ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน
ข. ความต้องการของสังคม
ค. สภาพทางเศรษฐกิจและสังคม
ง. การบริหารจัดการของสถานศึกษา
ตอบข้อ ง. การบริหารจัดการของสถานศึกษา
8. การดำเงินงานในการพัฒนาหลักสูตร เริ่มต้นจากข้อใด
ก. การเลือกและการจัดเนื้อหาวิชา
ข. กำหนดจุดมุ่งหมาย
ค. การนำเสนอสูตรไปใช้
ง. การประเมินผลหลักสูตร
ตอบข้อ ข. กำหนดจุดมุ่งหมาย
9. ข้อใด ไม่ใช่ รายละเอียดของหลักสูตร
ก. การบริหารหลักสูตร
ข. การจัดแผนการเรียนการสอน
ค. ศักยภาพและความถนัดของผู้เรียน
ง. วิธีการสอนและคุณสมบัติผู้สอน
ตอบข้อ ค. ศักยภาพและความถนัดของผู้เรียน
10. การพัฒนาหลักสูตร ให้มีคุณภาพและเหมาะสมกับสถานการณ์ คือข้อใด
ก. ผู้สอนพัฒนาคุณวุฒิของตนให้ทัดเทียมที่อื่น
ข. ผู้เรียนและชุมชนสนใจแสวงหาสถานศึกษาที่ดี
ค. ผู้บริหารสนใจพัฒนาศักยภาพด้านวิชาการและวิชาชีพ
ง. การประชุมปรึกษาร่วมกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ตอบข้อ ง. การประชุมปรึกษาร่วมกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
11. ข้อใด ไม่ใช่ รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์
ก. จุดมุ่งหมาย ข. จัดประสบการณ์
ค. คุณสมบัติครู ง. การประเมินครู
ตอบข้อ ค. คุณสมบัติครู
12. ข้อใด ไม่ใช่ แหล่งข้อมูลในการกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
ก. สังคม ข. ผู้เรียน
ค. ผู้เชี่ยวชาญ ง. ครูผู้สอน
ตอบข้อ ง. ครูผู้สอน
13. เกณฑ์ในการพิจารณา เลือกประสบการณ์การเรียนรู้ ที่ไทเลอร์ไม่ได้กำหนดไว้ คือ ข้อใด
ก. ครูพึงพอใจในการจัดประสบการณ์
ข. ผู้เรียนพึงพอใจในการจัดประสบการณ์
ค. ผู้เรียนมีโอกาสฝึกและเรียนรู้
ง. ประสบการณ์ทุกด้านเน้น ตอบสนองจุดประสงค์
ตอบข้อ ก. ครูพึงพอใจในการจัดประสบการณ์
14. ข้อใด ไม่ใช่ ความสัมพันธ์ในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบแนวตั้งและแนวนอนของไทเลอร์
ก. ความต่อเนื่อง ข. ประสบการณ์
ค. การจัดช่วงลำดับ ง. บูรณาการ
ตอบข้อ ข. ประสบการณ์
15. การวัดและวิเคราะห์สถานการณ์ ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมเหล่านั้นตรงกับข้อใด
ก. การกำหนดจุดมุ่งหมาย
ข. การเลือกกิจกรรม
ค. การจัดประสบการณ์
ง. การประเมินผล
ตอบข้อ ง. การประเมินผล
16. ข้อใด ไม่ใช่ เกณฑ์การพิจารณาเครื่องมือที่ใช้วัดผลหลักสูตร
ก. ความเป็นปรนัย ข. ความเป็นอัตนัย
ค. ความเชื่อมัน ง. ความเที่ยงตรง
ตอบข้อ ข. ความเป็นอัตนัย
17. ข้อใดคือ แนวความคิดของฮิลดา ทาบา ที่มีต่อการพัฒนาหลักสูตรต่างจาก ไทเลอร์
ก. การดำหนดจุดมุ่งหมาย
ข. การเลือกและจัดประสบการณ์
ค. ครูควรมีส่วนร่วม
ง. การประเมินผล
ตอบข้อ ค. ครูควรมีส่วนร่วม
18. ผู้ที่ได้รับแนวคิดของไทเลอร์ และทาบา แล้วนำมาปรับขยายการพัฒนาหลักสูตรให้ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน คือข้อใด
ก. เซเลอร์ และอเล็กซานเดอร์ ข. ฟ็อกซ์
ค. กู๊ดแล็ด และ ริชเทอร์ ง. ริชเทอร์
ตอบข้อ ก. เซเลอร์ และอเล็กซานเดอร์
19. การที่สามารถบอกว่า หลักสูตรบรรลุตามเป้าหมาย หรือจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ ทราบได้จากข้อใด
ก. กำหนดขอบเจต ข. การออกแบบหลักสูตร
ค. การใช้หลักสูตร ง. การประเมินผล
ตอบข้อ ง. การประเมินผล
20. ข้อใด ไม่ใช่ ข้อคำนึงถึงในการออกแบบหลักสูตร
ก. เลือกประสบการณ์ที่เหมาะสม
ข. การจัดเนื้อหาสาระ
ค. ความพร้อมของสถานศึกษา
ง. ความต้องการของผู้เรียนและสังคม
ตอบข้อ ค. ความพร้อมของสถานศึกษา
รายวิชาการพัฒนาหลักสูตร คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาคณิตศาสตร์02 นางสาวจุฑามาศ แซ่เตื้อง รหัสประจำตัวนักศึกษา5581103073
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556
แนวข้อสอบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๑
๑. การปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน บทบาทของครูผู้สอนจะเป็นลักษณะใด
ก. ผู้สอนเนื้อหาวิชาเป็นหลัก
ข. ผู้ชี้นำด้านความความประพฤติ
ค. ผู้ถ่ายทอดความรู้
ง. ผู้ช่วยเหลือส่งเสริมสนับสนุนผู้เรียน
๑. การปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน บทบาทของครูผู้สอนจะเป็นลักษณะใด
ก. ผู้สอนเนื้อหาวิชาเป็นหลัก
ข. ผู้ชี้นำด้านความความประพฤติ
ค. ผู้ถ่ายทอดความรู้
ง. ผู้ช่วยเหลือส่งเสริมสนับสนุนผู้เรียน
๒.
สิ่งใดในหลักสูตรช่วยให้เกิดความชัดเจนช่วยให้การจัดการเรียนการสอนได้อย่างเป็นลำดับ
ลดความซ้ำซ้อน สิ่งที่สอน และช่วยให้ผู้สอนชั้นเดียวกันไปในทิศทางเดียวกัน
ก. ตัวชี้วัดชั้นปี
ข. คุณลักษณะที่พึงประสงค์
ค. มาตรฐานการเรียนรู้
ง. เกณฑ์การวัดและประเมินผล
ลดความซ้ำซ้อน สิ่งที่สอน และช่วยให้ผู้สอนชั้นเดียวกันไปในทิศทางเดียวกัน
ก. ตัวชี้วัดชั้นปี
ข. คุณลักษณะที่พึงประสงค์
ค. มาตรฐานการเรียนรู้
ง. เกณฑ์การวัดและประเมินผล
๓. สถานศึกษาทุกแห่งจะใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช
๒๕๕๑
ก. ๒๕๕๒
ข. ๒๕๕๓
ค. ๒๕๕๔
ง ๒๕๕๕
ก. ๒๕๕๒
ข. ๒๕๕๓
ค. ๒๕๕๔
ง ๒๕๕๕
๔. ข้อใดไม่ใช่ประเด็นปัญหาของการปรับปรุงหลักสูตร
ก. หลักสูรมีเนื้อหามาเกินไป
ข. การวัดและประเมินผลไม่สะท้อนมาตรฐาน
ค. การปรับเปลี่ยนรัฐบาล
ง. ความสับสนของผู้ปฏิบัติในระดับสถานศึกษา
ก. หลักสูรมีเนื้อหามาเกินไป
ข. การวัดและประเมินผลไม่สะท้อนมาตรฐาน
ค. การปรับเปลี่ยนรัฐบาล
ง. ความสับสนของผู้ปฏิบัติในระดับสถานศึกษา
๕. ข้อใดเป็นหลักการของหลักสูตร
ก. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ข. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัยและรักการออกกำลังกาย
ค. มีความสามารถในการสื่อสาร
ง. มีความรักชาติมีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก
๖. ข้อใดแสดงให้เห็นถึงเป้าหมาย ทิศทางของการจัดการศึกษาของชาติ
ก. วิสัยทัศน์หลักสูตร
ข. ตัวชี้วัดชั้นปี
ค. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
ง. โครงสร้างเวลาเรียน
ก. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ข. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัยและรักการออกกำลังกาย
ค. มีความสามารถในการสื่อสาร
ง. มีความรักชาติมีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก
๖. ข้อใดแสดงให้เห็นถึงเป้าหมาย ทิศทางของการจัดการศึกษาของชาติ
ก. วิสัยทัศน์หลักสูตร
ข. ตัวชี้วัดชั้นปี
ค. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
ง. โครงสร้างเวลาเรียน
๗. มาตรฐานช่วงชั้น กำหนดไว้สำหรับชั้นใด
ก. ป.๓
ข. ป.๖
ค. ม.๓
ง. ม.๔-๖
ก. ป.๓
ข. ป.๖
ค. ม.๓
ง. ม.๔-๖
๘. การกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เพื่อมุ่งให้เกิดสิ่งใด
ก. ให้สังคมเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้
ข. ให้ผู้เรียนสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข
ค. ให้ผู้เรียนเป็นคนดี คนเก่งและมีความสุข
ง. เกิดความสมานฉันท์ในชาติ
เพื่อมุ่งให้เกิดสิ่งใด
ก. ให้สังคมเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้
ข. ให้ผู้เรียนสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข
ค. ให้ผู้เรียนเป็นคนดี คนเก่งและมีความสุข
ง. เกิดความสมานฉันท์ในชาติ
๙. ข้อใดไม่ใช่การจัดระดับการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ก. กิจกรรมแนะแนว
ข. กิจกรรมนักเรียน
ค. กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์
ง. กิจกรรมส่งเสริมโครงงานอาชีพ
ก. กิจกรรมแนะแนว
ข. กิจกรรมนักเรียน
ค. กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์
ง. กิจกรรมส่งเสริมโครงงานอาชีพ
๑๐.
ข้อใดไม่ใช่การจัดระดับการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ก. ระดับปฐมวัย
ข. ระดับประถมศึกษา
ค. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ง. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
ก. ระดับปฐมวัย
ข. ระดับประถมศึกษา
ค. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ง. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
๑๑. การจัดเวลาเรียนระดับชั้นใดจัดเวลาเรียนเป็นรายปี
ก. ระดับปฐมวัย
ข. ระดับประถมศึกษา
ค. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ง. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
๑๒. การจัดการศึกษาระดับใดมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้สำรวจความถนัดและความพอใจของตนเอง
ก. ระดับปฐมวัย
ข. ระดับประถมศึกษา
ค. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ง. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
ก. ระดับปฐมวัย
ข. ระดับประถมศึกษา
ค. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ง. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
๑๒. การจัดการศึกษาระดับใดมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้สำรวจความถนัดและความพอใจของตนเอง
ก. ระดับปฐมวัย
ข. ระดับประถมศึกษา
ค. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ง. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
๑๓. การจัดเวลาเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
กลุ่มสาระการเรียนรู้ใดกำหนดโครงสร้าง
เวลาเรียนน้อยกว่ากลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น
ก. ภาษาไทย
ข. ศิลปะ
ค. วิทยาศาสตร์
ง. สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
เวลาเรียนน้อยกว่ากลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น
ก. ภาษาไทย
ข. ศิลปะ
ค. วิทยาศาสตร์
ง. สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
๑๔. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการกำหนดเวลาเรียน
ก. ระดับชั้น ป.๑-๖ กำหนดเวลาเรียนไม่เกิน ๑,๐๐๐ ชั่วโมง/ ปี
ข. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กำหนดเวลาเรียนไม่เกิน ๑,๒๐๐ ชั่วโมง/ ปี
ค. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ให้สถานศึกษากำหนดได้ตามความเหมาะสม
ง. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รวม ๓ ปี ไม่น้อยกว่า ๓,๖๐๐ ชั่วโมง/ปี
ก. ระดับชั้น ป.๑-๖ กำหนดเวลาเรียนไม่เกิน ๑,๐๐๐ ชั่วโมง/ ปี
ข. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กำหนดเวลาเรียนไม่เกิน ๑,๒๐๐ ชั่วโมง/ ปี
ค. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ให้สถานศึกษากำหนดได้ตามความเหมาะสม
ง. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รวม ๓ ปี ไม่น้อยกว่า ๓,๖๐๐ ชั่วโมง/ปี
๑๕.
เครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมสนับสนุนการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเข้าถึงความรู้
ทักษากระบวนการและคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลักสูตร
ก. วิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้
ข. สื่อการเรียนรู้
ค. ผู้บริหารและครูผู้สอน
ง. วิธีการวัดและประเมินผล
ทักษากระบวนการและคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลักสูตร
ก. วิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้
ข. สื่อการเรียนรู้
ค. ผู้บริหารและครูผู้สอน
ง. วิธีการวัดและประเมินผล
๑๖.
การวัดประเมินผลของระดับใดดำเนินการเพื่อการตัดสินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นรายปีและรายภาค
ก. ระดับชั้นเรียน
ข. ระดับสถานศึกษา
ค. ระดับเขตพื้นที่การศึกษา
ง. ระดับชาติ
ก. ระดับชั้นเรียน
ข. ระดับสถานศึกษา
ค. ระดับเขตพื้นที่การศึกษา
ง. ระดับชาติ
๑๗. ข้อใดไม่ถูกต้องในการตัดสินผลการเรียน
ก. ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ของเวลาเรียนทั้งหมด
ข. ต้องได้รับการตัดสินทุกรายวิชา
ค. ต้องได้รับการประเมินทุกตัวชี้วัด
ง. ต้องได้รับการประเมินเฉพาะในด้านการอ่านคิดวิเคราะห์ และเขียน
ก. ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ของเวลาเรียนทั้งหมด
ข. ต้องได้รับการตัดสินทุกรายวิชา
ค. ต้องได้รับการประเมินทุกตัวชี้วัด
ง. ต้องได้รับการประเมินเฉพาะในด้านการอ่านคิดวิเคราะห์ และเขียน
๑๘. เอกสารใดไม่ใช่เอกสารหลักฐานการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด
ก. ระเบียนแสดงผลการเรียน
ข. ประกาศนียบัตร
ค. แบบรายงานประจำตัวนักเรียน
ง. แบบรายงานผู้สำเร็จการศึกษา
ก. ระเบียนแสดงผลการเรียน
ข. ประกาศนียบัตร
ค. แบบรายงานประจำตัวนักเรียน
ง. แบบรายงานผู้สำเร็จการศึกษา
๑๙.
ข้อใดไม่ใช่สมรรถนะสำคัญที่มุ่งให้เกิดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ก. ความสามารถในการคิด
ข. ความสามารถในการแก้ปัญหา
ค. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ง. ความสามารถในการแสวงหาความรู้
ก. ความสามารถในการคิด
ข. ความสามารถในการแก้ปัญหา
ค. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ง. ความสามารถในการแสวงหาความรู้
๒๐. ระเบียนแสดงผลการเรียน ตรงกับข้อใด
ก. ปพ.๑
ข. ปพ.๒
ค. ปพ.๓
ง. ปพ.๔
ก. ปพ.๑
ข. ปพ.๒
ค. ปพ.๓
ง. ปพ.๔
๒๑. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลตามสภาพจริง
ก. ใช้วิธีการประเมินที่หลากหลาย
ข. ต้องตัดสินโดยใช้เกณฑ์หรือมาตรฐานเดียวกับเกณฑ์
ค. ประกอบด้วย ๓ อย่าง คือ ภาระงาน บริบท และเกณฑ์การประเมิน
ง. ใช้เฉพาะแฟ้มสะสมงานในการประเมิน
ก. ใช้วิธีการประเมินที่หลากหลาย
ข. ต้องตัดสินโดยใช้เกณฑ์หรือมาตรฐานเดียวกับเกณฑ์
ค. ประกอบด้วย ๓ อย่าง คือ ภาระงาน บริบท และเกณฑ์การประเมิน
ง. ใช้เฉพาะแฟ้มสะสมงานในการประเมิน
๒๒.
หน่วยงานใดเป็นผู้จัดทำระเบียบหรือแนวปฏิบัติในการเทียบโอนผลการเรียนของสถานศึกษา
ก. กระทรวงศึกษาธิการ
ข. สำนักทดสอบทางการศึกษา
ค. สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา
ง. สถานศึกษา
ก. กระทรวงศึกษาธิการ
ข. สำนักทดสอบทางการศึกษา
ค. สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา
ง. สถานศึกษา
๒๓. ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
หากนักเรียนไม่ผ่านรายวิชาจำนวนมากและมี
แนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้นใครมีบทบาทสำคัญในการพิจารณา
ให้นักเรียนซ้ำชั้นได้
ก. ผู้บริหารสถานศึกษา
ข. ครูผู้สอนประจำชั้น
ค. ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ง. คณะกรรมการที่สถานศึกษาแต่งตั้ง
แนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้นใครมีบทบาทสำคัญในการพิจารณา
ให้นักเรียนซ้ำชั้นได้
ก. ผู้บริหารสถานศึกษา
ข. ครูผู้สอนประจำชั้น
ค. ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ง. คณะกรรมการที่สถานศึกษาแต่งตั้ง
๒๔. ข้อใดไม่ใช่คุณลักษณะ อันพึงประสงค์
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พ.ศ. ๒๕๕๑
ก. มีความเป็นไทย
ข. มีคุณธรรมจริยธรรม
ค. ใฝ่เรียนรู้
ง. อยู่อย่างพอเพียง
พ.ศ. ๒๕๕๑
ก. มีความเป็นไทย
ข. มีคุณธรรมจริยธรรม
ค. ใฝ่เรียนรู้
ง. อยู่อย่างพอเพียง
๒๕. ข้อใดไม่ใช่กลุ่มสาระการเรียนรู้
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551
ก. การงานอาชีพและเทคโนโลยี
ข. สุขศึกษาและพลศึกษา
ค. ศิลปะและดนตรี
ง. ภาษาต่างประเทศ
เฉลยแนวข้อสอบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
๑. ง ๒. ก ๓. ง ๔. ค ๕. ก
๖. ก ๗. ง ๘. ข ๙. ง ๑๐. ก
๑๑. ข ๑๒. ค ๑๓. ข ๑๔. ค ๑๕. ข
๑๖. ข ๑๗. ง ๑๘. ค ๑๙. ง ๒๐. ก
๒๑. ง ๒๒. ก ๒๓. ง ๒๔. ข ๒๕. ค
ก. การงานอาชีพและเทคโนโลยี
ข. สุขศึกษาและพลศึกษา
ค. ศิลปะและดนตรี
ง. ภาษาต่างประเทศ
เฉลยแนวข้อสอบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
๑. ง ๒. ก ๓. ง ๔. ค ๕. ก
๖. ก ๗. ง ๘. ข ๙. ง ๑๐. ก
๑๑. ข ๑๒. ค ๑๓. ข ๑๔. ค ๑๕. ข
๑๖. ข ๑๗. ง ๑๘. ค ๑๙. ง ๒๐. ก
๒๑. ง ๒๒. ก ๒๓. ง ๒๔. ข ๒๕. ค
วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556
บันทึกการเรียนรู้นอกชั้นเรียน8เดือนกันยายน2556ความสำคัญของหลักสูตรท้องถิ่น
บันทึกการเรียนรู้นอกชั้นเรียน
การศึกษาของวันที่8เดือนกันยายน2556
ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของความสำคัญของหลักสูตรท้องถิ่น
ซึ่งจะทำให้เพิ่มความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรท้องถิ่นได้ดียิ่งขึ้น
หลักสูตรท้องถิ่น เป็นหลักสูตรบูรณาการที่ผู้เรียน
ชุมชนและครูร่วมกันสร้างขึ้น
เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้เรียน เรียนจากชีวิต
เรียนแล้วเกิดการเรียนรู้สามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตอย่างมีคุณภาพและเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมอย่างมีความสุข
การเรียนการสอนจะสอนตามความต้องการของผู้เรียน โดยครูเป็นผู้คอยให้คำแนะนำ ผู้เรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ดังนั้น หลักสูตรท้องถิ่นจึงมีความสำคัญ ดังต่อไปนี้
( กองพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน. 2543 : 5)
1.เป็นหลักสูตรที่ตอบสนองการเรียนรู้ของรู้เรียนเฉพาะเนื้อหาสาระของหลักสูตรสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนตามสภาพปัญหาที่เป็นจริง
2.ทำให้กิจกรรมการเรียนรู้มีความหมายต่อผู้เรียน เพราะผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้
3.ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการแสวงหาความรู้ เพื่อที่จะมาใช้เป็นข้อมูลในการแก้ปัญหาในชีวิตจริงของตนเองในวันข้างหน้า
รวมทั้งวิธีวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล เพื่อการตัดสินใจที่เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตของตนเอง
4.ชุมชนและภูมิปัญญาในชุมชน
มีโอกาสมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้กับผู้เรียน
หลักสูตรท้องถิ่นมีความสำคัญมากต่อผู้เรียน เพราะเป็นหลักสูตรที่ตอบสนองการเรียนรู้ของรู้เรียนเฉพาะเนื้อหาสาระของหลักสูตรสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนตามสภาพปัญหาที่เป็นจริง ทำให้กิจกรรมการเรียนรู้มีความหมายต่อผู้เรียน
เพราะผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ นี่คือความสำคัญของหลักสูตรท้องถิ่นนั่นเอง
วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556
การประเมินหลักสูตรสถานศึกษา
การประเมินหลักสูตรสถานศึกษา
การประเมินผลเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับว่า
มีส่วนทำให้การดำเนินการใดๆประสบผลสำเร็จได้
เพราะการประเมินผลอาจเป็นได้ทั้งสิ่งส่งเสริมและกระตุ้นให้การดำเนินงานประสบผลสำเร็จได้ในระดับที่พึงปรารถนา
ความหมายของการประเมินหลักสูตร
การประเมินหลักสูตรหมายถึง
การประเมินองค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตรว่ามีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด
และเมื่อได้นำหลักสูตรไปใช้แล้วบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ต้องการหรือไม่
โดยในการประเมินหลักสูตรจะใช้เครื่องมือชนิดต่าง ๆที่มีความเหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูล
เช่น แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม เป็นต้น
ทั้งนี้ผลที่ได้จากการประเมินจะถูกนำไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นต่อไป
จุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตร
การประเมินหลักสูตร มีจุดมุ่งหมายเพื่อค้นหาข้อบกพร่องและปัญหาต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้น การนำหลักสูตรไปใช้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการหรื่อไม่
ทั้งนี้เพื่อนำผลที่ได้จากการประเมินมาใช้ในการปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรให้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังใช้ในการตัดสินคุณค่าของหลักสูตรว่ามีคุณค่าพอที่จะนำไปใช้ต่อหรือสมควรยกเลิกหรือไม่
แนวทางการประเมินหลักสูตร
การประเมินหลักสูตรแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ
1. การประเมินก่อนการนำหลักสูตรไปใช้
มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินปรัชญาของหลักสูตร จุดประสงค์ เนื้อหา ประสบการณ์
และความต้องการของสังคมโดยผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตรจะเป็นผู้ประเมิน
2. การประเมินระหว่างการดำเนินการใช้หลักสูตร
มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินกระบวนการนำหลักสูตรไปใช้ เช่น การจัดการเรียนการสอน
วิธีการสอน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน
และวิธีการวัดและประเมินผล
3. การประเมินหลังจากการใช้หลักสูตร
มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการบริหารหลักสูตรรวมถึงการประเมินหลักสูตรทั้งระบบ
ได้แก่ ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ และผลผลิตของการใช้หลักสูตร
วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ประโยชน์ของการออกแบบหลักสูตร
ประโยชน์ของการออกแบบหลักสูตร
การออกแบบหลักสูตรที่ดีจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการศึกษา
ฮอลล์ (Hall.1962 อ้างถึงใน ปราณี สังขะตะวรรธน์และสิริวรรณ
ศรีพหล. 2545 : 97 – 98) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการออกแบบหลักสูตรไว้
ดังนี้
1.การออกแบบเป็นการเน้นที่เป้าหมาย จุดหมาย และวัตถุประสงค์ของงานเป็นสำคัญ
การออกแบบหลักสูตรจึงเป็นการสร้างความมั่นใจว่าหลักสูตรที่สร้างขึ้น
สามารถนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ
หรือจุดหมายของการจัดการศึกษานั้นได้
2.การออกแบบหลักสูตรที่ดีช่วยเพิ่มโอกาสของความสำเร็จในการจัดการศึกษา
การออกแบบเป็นการจัดองค์ประกอบหลักสูตรทั้ง 4
ที่จะเป็นแนวทางให้กับผู้ใช้หลักสูตรได้ดำเนินการ โดยเริ่มตั้งแต่การศึกษาวัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย
การให้สาระความรู้ที่จำเป็น วิธีการนำเสนอสาระความรู้ หรือ
แนวการดำเนินการเรียนการสอน และการประเมินผลหรือการตัดสินว่าผู้เรียนได้บรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่เพียงใด
3.การออกแบบช่วยประหยัดเวลาและแรงงาน
การออกแบบเป็นการสร้างพิมพ์เขียว
เพื่อให้ผู้ใช้หลักสูตรได้เห็นประสบการณ์ที่จำเป็นที่ผู้เรียนต้องได้รับ
การกำหนดรูปแบบต่าง ๆ การกำหนดวิธีการนำหลักสูตรไปใช้ การกำหนดทิศทางรูปแบบการเรียนการสอน
ช่วยให้ผู้ใช้หลักสูตรมีความเข้าใจในกระบวนการต่าง ๆ
สามารถนำไปปฏิบัติและประยุกต์ใช้ได้
4.การออกแบบที่ดีช่วยในการสื่อสารและประสานงาน
นักออกแบบที่สามารถออกแบบหลักสูตร เอกสารการสอน และคู่มือต่าง ๆ
ช่วยเพิ่มความเข้าใจในการนำหลักสูตรไปใช้ โดยอาจจะไม่ต้องใช้เวลามาจัดอบรม
เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตร และการนำหลักสูตรไปใช้
5.การออกแบบช่วยลดภาวะความตึงเครียด
เนื่องจากการออกแบบหลักสูตรเป็น การวางแผนสำหรับการจัดการศึกษาที่มีเป้าหมาย
และวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน การออกแบบหลักสูตรเป็นการสร้างพิมพ์เขียวจากสิ่งที่เป็นนามธรรมไปสู่สิ่งที่เป็นรูปธรรม
เพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างไม่ยุ่งยาก
จากการศึกษาทำให้เกิดความรู้
พอสรุปได้ดังนี้ การออกแบบหลักสูตรเป็นการสร้างความมั่นใจว่าหลักสูตรที่สร้างขึ้นสามารถนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ
เป็นการสร้างพิมพ์เขียว
เพื่อให้ผู้ใช้หลักสูตรได้เห็นประสบการณ์ที่จำเป็นที่ผู้เรียนต้องได้รับ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จหรือจุดหมายของการจัดการศึกษานั้นได้ การออกแบบหลักสูตรที่ดีช่วยเพิ่มโอกาสของความสำเร็จในการจัดการศึกษา
วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556
การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ วันที่ 22 สิงหาคม 2556
การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
การศึกษาของวันที่ 22 สิงหาคม 2556
เป็นการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของการออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (learner– centered designs) ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มองถึงประโยชน์ของผู้เรียนเป็นสำคัญ
คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของผู้เรียน โดยหลีกเลี่ยงหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชาเป็นตัวตั้ง การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
จัดได้หลายประเภท ดังนี้
2.1
หลักสูตรเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (child – centered designs) หลักสูตรได้แนวคิดมาจากรุสโซ
(Rousseau) ในต้นศตวรรษที่ 18 ที่ว่าเด็กควรจะได้ศึกษาถึงธรรมชาติที่อยู่แวดล้อมตัวซึ่งสอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของเขา
นักการศึกษาที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ เช่น จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) เฟเดอริค ฟรอเบล (Friedrich Froebel) และเปสตาลอสซี่
(Pestalozzi) เป็นต้น การจัดเนื้อหาของหลักสูตรแบบนี้จะมีการบูรณาการเนื้อหาของวิชาต่าง
ๆ เข้าด้วยกัน โดยเน้นไปที่ประสบการณ์หรือปัญหาสังคม ความจำเป็นของชีวิต
ทักษะชีวิต การปรับตัว และประสบการณ์ตรงของผู้เรียน ดังตัวอย่าง หลักสูตร Skills
for Growing สำหรับระดับชั้น k – 5
ที่พัฒนาโดย W.K.Kellogg Foundation ภายใต้การสนับสนุนของ the
National Association of Elementary School Principals and the National PTA หลักสูตรแบ่งเนื้อหาเป็น 5 หน่วยการเรียน ดังนี้ (Lion
– guest.2007)
หน่วยการเรียนที่ 1 : การสร้างชุมชนในโรงเรียน
หน่วยการเรียนที่ 2 : เติบโตเพื่อเป็นสมาชิกของกลุ่ม
หน่วยการเรียนที่ 3 : การตัดสินใจเชิงบวก
หน่วยการเรียนที่ 4 : การเจริญเติบโตเพื่อสุขภาพที่ดี
หน่วยการเรียนที่ 4 : การเคารพซึ่งกันและกัน
ข้อดีของหลักสูตรนี้ คือ
มีการผสมผสานกันระหว่างการเรียนรู้กับเนื้อหา สิ่งที่เรียนมีความสัมพันธ์กับปัญหาชีวิต
และความสนใจของผู้เรียน ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์และใช้กระบวนการแก้ปัญหาของตนเอง
ส่วนข้อจำกัด คือ การจัดหลักสูตรที่ยึดความสนใจของผู้เรียนเป็นตัวตั้ง
จะไม่สามารถรับประกันได้ว่าความต้องการของผู้เรียนจะเป็นไปตามที่สังคมต้องการหรือไม่และเป็นความยุ่งยากของสถานศึกษาที่จะจัดหลักสูตรให้สอดคล้องกับผู้เรียนทุกคน
2.2 หลักสูตรเน้นประสบการณ์ (experience –
centered designs) เป็นหลักสูตรที่มีลักษณะคล้ายหลักสูตรเน้นกระบวนการ
พัฒนามาจากแนวคิดของจอห์น ดิวอี้ ที่เน้นการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติของผู้เรียน กิจกรรมและประสบการณ์ต่าง
ๆ ควรจัดขึ้นตามความสนใจและความต้องการของผู้เรียน
จึงจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันจะนำไปสู่การเรียนรู้และประสบการณ์อื่น ๆ
ข้อดีของหลักสูตรนี้คือ ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
นำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
2.3 หลักสูตรแบบจิตนิยม (romantic /radical
designs) เป็นหลักสูตรที่เน้นความเป็นธรรมชาติของผู้เรียน
ให้ความสำคัญของบุคคลแต่ละคนว่าทุกคนมีอิสระในการเลือก
สามารถกำหนดชีวิตของตนเองได้ เน้นความมีเสรีภาพอันสมบูรณ์และความเป็นเอกัตบุคคลของแต่ละคน
หลักสูตรควรช่วยให้ผู้เรียนสามารถปรับตัว ตัดสินใจกระทำสิ่งต่างๆได้
กล้ายอมรับในสิ่งที่ตนทำตลอดจนสามารถแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นได้ การเรียนการสอนเน้นผู้เรียนให้รู้จักปัญหาและได้ฝึกฝนให้ทำในสิ่งที่ต้องออกไปเผชิญในชีวิตจริง
นักการศึกษาที่มีแนวคิดลักษณะนี้ ได้แก่ เอ.เอส.นีล (A.S.Neil) อิวาน อิลลิช (Ivan Illich) และเปาโล แฟร์ (Paulo
Freire) เป็นต้น
2.4 หลักสูตรมนุษยนิยม (humanistic designs) การออกแบบหลักสูตรประเภทนี้นิยมแพร่หลายในระหว่าง ค.ศ. 1960 – 1970
โดยได้รับแนวคิดของปรัชญาการศึกษาแบบอัตถิภาวะนิยม (existentialism)
หลักสูตรเน้นด้านจิตใจ ความเป็นเอกัตบุคคล การพัฒนามโนทัศน์ของตนเอง
การรู้จักตนเอง การควบคุมการเรียนรู้และพฤติกรรมด้วยตนเอง การรู้จักเห็นใจผู้อื่น
นับถือตนเองและผู้อื่น เน้นการพัฒนาจิตพิสัย ควบคู่ไปกับพุทธิพิสัย
หลักสูตรจะเพิ่มทางเลือกให้ผู้เรียนได้มีอิสระในการเลือก
ยึดหลักการพัฒนาแบบองค์รวม นักการศึกษาที่มีแนวคิดเช่นนี้ ได้แก่ อับบราฮัม
มาสโลว์ (Abraham Maslow) และ คาร์ล โรเจอรส์ (Carl
Rogers) ข้อบกพร่องของหลักสูตรแบบนี้ คือ
การจัดการเรียนการสอนต้องเป็นครูที่มีทักษะ มีความสามารถที่จะทำงานกับผู้เรียน
เป็นรายบุคคล
ออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
(learner– centered designs) ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มองถึงประโยชน์ของผู้เรียนเป็นสำคัญ
คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของผู้เรียน โดยหลีกเลี่ยงหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชาเป็นตัวตั้ง
วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556
บันทึกการเรียนรู้นอกชั้นเรียน วันที่ 17 สิงหาคม 2556 หลักสูตรท้องถิ่น
บันทึกการเรียนรู้นอกชั้นเรียน
การศึกษาของวันที่ 17 สิงหาคม 2556 ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องความหมายของหลักสูตรท้องถิ่นซึ่งมีความสำคัญที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาท้องถิ่นให้มีคุณภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น
หลักสูตรท้องถิ่น หมายถึง ประสบการณ์การเรียนรู้ที่จัดให้กับกลุ่มผู้เรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่จัดตามสภาพปัญหาและความต้องการของผู้เรียนในท้องถิ่นนั้นๆ เป้าหมายหลัก คือ ต้องการให้ผู้เรียนได้นำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้เรียนให้ดีขึ้น
(เขียนโดย อัญชลี ธรรมะวิธีกุล ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ 2552)
กองพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน (2543 :
3 ) ได้ให้ความหมายหลักสูตรท้องถิ่นไว้คือ
หลักสูตรที่สร้างขึ้นจากสภาพปัญหาและความต้องการของผู้เรียน หลักสูตรท้องถิ่นจะสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของท้องถิ่นนั้นๆ
เป็นการเรียนรู้จากภูมิปัญญาที่มีอยู่ในท้องถิ่น
ผู้เรียนแสวงหาองค์ความรู้ที่ตอบสนองกับวิถีชีวิตของตนเอง ปรับตนเองให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคโลกาภิวัตน์ผู้เรียนจะเรียนรู้ตามสภาพจริงของตนเอง สามารถนำความรู้ไปใช้การพัฒนาตนเอง ครอบครัว และชุมชนได้
ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539:107)
ได้กล่าวถึงความหมายของหลักสูตรท้องถิ่นว่า “หมายถึงมวลประสบการณ์ที่สถานศึกษาหรือหน่วยงานและบุคคลในท้องถิ่นจัดให้แก่ผู้เรียนตามสภาพปัญหา
และความต้องการของท้องถิ่นนั้น ๆ”
กรมวิชาการ (2536: 37)
ให้ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นไว้ว่า “การพัฒนาหลักสูตรในระดับท้องถิ่นเป็นกระบวนการของการนำหลักสูตรแม่บทไปสู่การปฏิบัติในห้องเรียนให้ได้ผลยิ่งขึ้น
นับตั้งแต่การจัดทำรายวิชาขึ้นใหม่ การปรับใช้รายวิชาจากหลักสูตรแม่บท
ตลอดจนการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนและกระบวนการสอน การวัดผลและการประเมินผล
เพื่อให้จัดการเรียนการสอนเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรอันเป็นแนวนโยบายของชาติ”
จึงพอสรุปความหมายของหลักสูตรท้องถิ่นได้ว่า
เป็นหลักสูตรที่สร้างขึ้นจากหลักสูตรแกนกลาง
โดยนำมาเพิ่มหรือปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง ปัญหา และความต้องการของท้องถิ่น
เพื่อผู้เรียนจะได้นำความรู้และประสบการณ์ไปใช้ในชีวิตจริง
หรือเป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน”ความสำคัญของหลักสูตรท้องถิ่น
วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556
อบรมในหัวข้อเรื่องการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
โดย บุญเรือง วุฒิวงศ์
รองผู้อำนวยการ สพป.นศ.3
การศึกษาคือ
กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้
การฝึก การอบรม การสืบสานวัฒนธรรม
โดยเนื้อหาสาระ
มีดังนี้
ความเป็นมา
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช2550
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ.2542
ความหมายและคำนิยามแห่งการศึกษาที่ควรรู้
การศึกษา:กระบวนการเรียนรู้
เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม
การสืบสานวัฒนธรรมฯลฯ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน:การศึกษาระดับก่อนอุดมศึกษา
ครูจะต้องฝึกให้นักเรียนเจริญงอกงาม
เจริญ=ทำให้โตขึ้น ใหญ่ขึ้น
งอก=เพิ่มขึ้น
งาม=สวยขึ้น ดีขึ้น(คนเก่ง และดี)
การสืบสานวัฒนธรรม
ทำให้ประเพณีต่างๆไม่สูญหายไป คนรุ่นหลังจะได้รู้และเข้าใจ
การศึกษาตลอดชีวิต:การศึกษาที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างการศึกษาในระบบ
การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย
สถานศึกษา:สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรียน ศูนย์การเรียน วิทยาลัย
สถาบัน มหาวิทยาลัย....ที่มีอำนาจหน้าที่หรือ วัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษา
การประกันคุณภาพ
มี2ประเภท
1.การประกันคุณภาพภายใน
โดยบุคลากรของสถานศึกษาหรือหน่วยงานต้นสังกัด จำเป็นต้องมีการประเมินทุกปี
เพื่อประเมินคุณภาพภายใน
2.การประกันคุณภาพภายนอก
โดยหน่วยงานภายนอก ประเมินทุกรอบ5ปี มื่อไม่ผ่านจะแจ้งให้ปรับปรุงภายใน2ปี ถ้าผ่าน=สามารถผลิตนักศึกษาที่มีคุณภาพ
ผู้สอน:ครูและคณาจารย์ในสถานศึกษา
ครู:บุคลากรวิชาชีพ
ซึ่งทำหน้าที่หลักทางด้านการเรียนการสอน ในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน
ครูทำหน้าที่เป็นผู้สอน
ในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
คณาจารย์:บุคลากรซึ่งทำหน้าที่หลักทางด้านการสอน และการวิจัย
ในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา
ระดับปริญญาของรัฐและเอกชน
อาจารย์
สอนในอุดมศึกษา
หลักการศึกษาตาม
พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ
1.เป็นการศึกษาตลอดชีวิต
สำหรับประชาชน
2.ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
3.การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ระบบการศึกษามี3รูปแบบ
1.การศึกษาในระบบ
จะกำหนดช่วงระยะเวลาที่แน่นอน มีเกณฑ์การประเมิน
2.การศึกษานอกระบบ
มีหลักสูตร เวลาเรียนไม่ตายตัว ยืดหยุ่นได้ กศน.
3.การศึกษาตามอัธยาศัย
จัดตามความสนใจ ตามความต้องการของผู้เรียน
แนวการจัดการศึกษา
1.ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ
2.เน้นความสำคัญ
ทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการตามความเหมาะสมแต่ละระดับ
3.ส่งเสริมและจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ
4.ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผลผู้เรียน
5.ให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กำหนดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556
บันทึกการเรียนรู้นอกชั้นเรียนวันที่ 8สิงหาคม 2556 อกุศลกรรมบถ 10
บันทึกการเรียนรู้นอกชั้นเรียน
การศึกษานอกชั้นเรียนของวันที่85
สิงหาคม 2556 ได้มีการศึกษาในเรื่องของอกุศลกรรม10ประการ ซึ่งอกุศลกรรมบถ 10 ประกอบด้วย
1. ปาณาติบาต ทำให้สัตว์ให้ตกล่าง คือ ฆ่าสัตว์
2. อทินนาทาน ถือ เอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วย
อาการแห่งขโมย
3. กาเมสุ มิจฉาจาร ประพฤติผิดในกาม
4. มุสาวาท พูดเท็จ
5. ปิสุณาวาจา พูดส่อเสียด
6. ผรุสวาจา พูดคำหยาบ
7. สัมผัปปลาปะ พูดเพ้อเจ้อ
8. อภิชญา โลภอยากได้ของเขา
9. พยาบาท ปองร้ายเขา
10. มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดจากคลองธรรม
ผลของอกุศลกรรมบถในแต่ละข้อ
- ผลของการทำร้ายสิ่งมีชีวิต ฆ่าสัตว์
จะเป็นคนรูปร่างไม่งาม มีโรคมาก สุขภาพไม่ดี กำลังกายอ่อนแอ เฉื่อยชา กลัวอะไรง่าย
หวาดระแวง มีอุบัติเหตุบ่อย ตายก่อนวัยอันควร อายุสั้น
- ผลของการขโมย ลักทรัพย์ ฉ้อโกง จะเกิดมาฐานะไม่ดี
อดอยาก หวังอะไรไม่สมหวัง ทำธุรกิจไม่ประสบผลสำเร็จ ทรัพย์สินเสียหายพังพินาศ
สิ่งของในครอบครองชำรุดเสียหาย
- ผลของการประพฤติผิดในกาม มีความต้องการทางเพศไม่ปกติ
จะทำให้มีผู้เกลียดชัง เห็นหน้าแล้วก็ไม่ถูกชะตา เสียทรัพย์ไปเพราะกาม ถูกประจานได้รับความอับอายบ่อย
ร่างกายไม่สมประกอบ วิตก ระแวงเกินปกติ พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก คนที่รักไม่ได้
ได้คนที่ไม่รัก พบแต่คนที่มีเจ้าของแล้วมาชอบ คู่มีตำหนิเช่นเจ้าชู้,หม้ายหรืออายุมาก
- ผลของการโกหก หลอกลวง
มีจิตบิดเบี้ยวเข้าใจอะไรผิดง่ายๆ จะเป็นคนพูดไม่ชัด ฟันไม่เป็นระเบียบ
ปากเหม็นแม้จะดูแลแล้ว ไอตัวร้อนจัด ตาไม่อยู่ในระดับปกติ ท่าทางไม่สง่าผ่าเผย
แม้จะฉลาดเพียงไหนก็จะพบเหตุที่ต้องเสียรู้คนอื่น
- ผลของการพูดส่อเสียด ดูถูก จะเป็นคนชอบตำหนิตนเอง
จะถูกลือโดยไม่มีความจริง แตกจากมิตรสหาย จะเกิดในตระกูลต่ำ
- ผลของการ พูดหยาบ
จะเป็นคนอยู่ในสถานที่ได้ยินเสียงที่น่ารบกวนไม่สงบ ทั้งบ้านและที่ทำงาน
มักหงุดหงิดรำคาญในเสียงต่างๆได้ง่าย มีผิวกายหยาบ น้ำเสียงหยาบ แก้วเสียงไม่ดี
เสียงเป็นที่ระคายโสตประสาทของผู้อื่น
- ผลของการพูดเพ้อเจ้อ นินทา จะเป็นคนไม่มีเครดิต
ไม่มีใครเกรงใจ เวลาพูดไม่มีใครสนใจฟัง เป็นคนไม่มีอำนาจ มีจิตฟุ้งซ่าน จิตหดหู่
สับสน
- ผลของการเพ่งเล็งอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตน
จะเป็นผู้รักษาทรัพย์สมบัติ รักษาคุณงามความดีไม่ได้
เกิดในครอบครัวอาชีพที่ต่ำต้อย ต้องได้รับคำติเตียนบ่นด่าว่าบ่อย
หวังสิ่งใดไม่สมหวัง เสี่ยงโชคยังไงก็ไม่ได้
- ผลของการคิดร้ายผู้อื่น ผูกพยาบาท จะเป็นคนมีโรคมาก
ผิวพรรณและรูปร่างดวงตาไม่สวย มีโรคทรมาน ตายทรมาน โดนทำร้ายตาย
- ผลของ เห็นผิดจากความจริง เห็นกงจักรเป็นดอกบัว
จะเกิดในถิ่นห่างไกลความเจริญ คนป่าคนดอย ด้อยการศึกษา ไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังธรรมะที่ทำให้ใจสงบให้ใจปล่อยวาง
ชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายเหมือนเกิดมาว่างเปล่า หาแก่นสารมิได้
ส่วนบาปที่อยู่บอกเหนือ อกุศลกรรมบถ ก็จะมีเรื่องของศีลข้อที่ห้า
คือการดื่มสุราเสพยาเสพติด
- ผลของการชอบดื่มสุราจนเมามาย เสพยาเสพติดกดประสาท
กระตุ้นประสาท หลอนประสาท จะทำให้เป็นคนโดนหลอกง่าย
ต้องอยู่ร่วมทำงานกับคนพาลชวนทะเลาะ รักษาทรัพย์รักษาชื่อเสียงไว้ไม่ได้
เรียงลำดับการพูดไม่รู้เรื่อง สติปัญญาและสมองไม่แจ่มใส
จากอกุศลกรรม10ประการ ข้างต้น คงจะเห็นว่าเป็นสิ่งที่เราไม่ควรกระทำสักนิด
เพราะทำให้เกิดความเป็นทุกข์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
จะไม่มีทางเจริญก้าวหน้าในชีวิตอย่างแน่นอน จึงอยากจะแนะนำให้อยู่ห่างอกุศลกรรมเหล่านี้เอาไว้
แล้วชีวิตเราจะมีแต่ความสุข …
http://www.larnbuddhism.com/webboard/showthread.php?t=1074
http://www.oknation.net/blog/zaiseefa/2010/03/11/entry-2
วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556
พระราชบัญญัติลูกเสือฉบับใหม่ (พ.ศ.2551 )
สรุปสาระ พระราชบัญญัติลูกเสือฉบับใหม่ (พ.ศ.2551
)
ร่างพระราชบัญญัติลูกเสือพ.ศ.ได้
ผ่านการพิจารณาวาระ2และ3
จากที่ประชุมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้วเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20
ธันวาคม 2550 เวลา 20.00น
โดยมีการขอแก้ไขเล็กน้อยในมาตรามาตรา17(12)และมาตรา38(8)โดยแก้ข้อความทั้ง
2มาตราจากเดิม “
กำกับดูแลกิจการลูกเสือชาวบ้าน “ มา
เป็น “ กำกับดูแลสนับสนุนและส่งเสริมกิจการลูกเสือชาวบ้าน”
พระราชบัญญัติลูกเสือฉบับใหม่นี้จะได้นำเสนอให้ทรงลงพระปรมาภิไธย
ประกาศใช้ต่อไป คาดว่าคง มีผลบังคับใช้ได้ต้นปี2551
เหตุผลที่ต้องออกกฎหมาย
1. กฎหมายลูกเสือได้เริ่มพัฒนาจากการออกเป็นข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือ
ไทยฉบับแรกเมื่อ1 ก.ค. 2454
หรือ 96ปีมา แล้ว ต่อมาได้ออกเป็นพระราชบัญญัติ
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 และได้ปรับปรุงอีก 3ครั้ง
หลังจากการปฎิรูประบบราชการในปี2546 ทำให้กฎหมายลูกเสือไม่สอดคล้อง
กับสถานการณ์ที่ได้เปลี่ยนไปหลายประการ
2. กฎหมายฉบับใหม่
ต้องการปรับการบริหารงานของลูกเสือ
ให้สอดคล้องกับโครงสร้างใหม่ของกระทรวงศึกษาธิการที่ใช้มาเมื่อ7กรกฎาคม2546
ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติเดิมเป็นอธิบดีกรม พลศึกษา
ต้องเปลี่ยนมาเป็นรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากได้โอนงานกองลูกเสือเดิม และงานสำนักงานคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติที่เคยอยู่ที่กรมพลศึกษา
มาอยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
3. ต้องปรับการบริหารของคณะกรรมการลูกเสืออำเภอ
ให้เป็นคณะกรรมการ เขตพื้นที่การศึกษาแทน
เพื่อให้เป็นไปตามระบบกระจายอำนาจใหม่ของกระทรวงศึกษาธิการ
4 เพิ่ม
สาระที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของสำนักงานคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติให้สอดคล้องกับสภาพจริง
ประโยชน์ของการออก พ.ร.บ. นี้
ช่วยส่งเสริมความเข้มแข็งของ
กระบวนการลูกเสือที่ต้องการสร้างพลเมืองดี ให้เป็นไปตามพระราชปณิธานของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 6 และ
ปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงเป็นพระประมุขของคณะลูกเสือไทย
รวมทั้งได้ทรงรับกิจการลูกเสือชาวบ้านไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ด้วย
สาระของพ.ร.บ.ลูกเสือฉบับใหม่
ประกอบด้วย 6
หมวด 74 มาตรา ได้แก่หลักการและนิยาม มาตรา 1 -
5 หมวด 1บททั่วไป มาตรา 6 – 10
หมวด 2 การปกครอง ส่วนที่ 1
สภาลูกเสือไทย มาตรา 11 – 14 ส่วนที่ 2
คณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติและสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ มาตรา 15 – 27
ส่วนที่ 3 ลูกเสือจังหวัดมาตรา 28 – 34
ส่วนที่ 4 ลูกเสือเขตพื้นที่มาตรา35 – 39
ส่วนที่5 ทรัพย์สินของสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ มาตรา 40
– 42 หมวด 3 การจัดกลุ่ม ประเภท และตำแหน่งของลูกเสือมาตรา
43 – 49 หมวด 4 ธง เครื่องแบบ และการแต่งกายมาตรา 50
– 52หมวด 5 เหรียญลูกเสือและการยกย่องเชิดชูเกียรติมาตรา 53
– 68 หมวด 6 บทกำหนดโทษมาตรา 69 – 70
และบทเฉพาะกาล มาตรา 71 – 74 สรุปสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ ได้แก่
1) เพิ่มคำนิยามลูกเสือ
และบุคลากรทางการลูกเสือให้ชัดเจนขึ้น และได้รวมกิจการลูกเสือชาวบ้านไว้ด้วย
2) ปรับชื่อสภาลูกเสือแห่งชาติ เป็นสภาลูกเสือไทย
เพื่อให้เป็นชื่อสากลที่ประเทศสมาชิกทั่วโลกจะระบุชื่อ ของประเทศไว้ด้วย และได้ปรับ
องค์ประกอบของสภาลูกเสือไทยให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนชื่อหน่วยราชการไปตาม
การปฏิรูประบบราชการเมื่อปี2546 เช่น
ตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ
จากอธิบดีกรมพลศึกษามาเป็นรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปรับชื่อตำแหน่งของ
เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เ
ลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ซึ่งหน่วยงานเหล่านี้ได้เปลี่ยนชื่อและภารกิจใหม่แล้ว
และปรับให้มีหน่วยงานใหม่เพิ่มเข้ามาได้แก่ได้แก่ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคม
ความมั่นคง และอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น
3. ปรับองค์ประกอบคณะกรรมการลูกเสือระดับจังหวัด
เป็น ซึ่งต้องใช้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเขต1
เข้าไปแทนศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งปัจจุบันไม่มีตำแหน่งนี้
4. ต้องปรับการบริหารลูกเสืออำเภอที่มีอยู่เดิมโดยใช้เขตพื้นที่การศึกษาแทน
ทำ ให้ต้อง ปรับองค์ประกอบคณะกรรมการและภารกิจของการบริหารลูกเสืออำเภอ
มาเป็นการบริหารลูกเสือเขตพื้นที่การศึกษา
5. เดิมคณะลูกเสือแห่งชาติเป็นนิติบุคคล
ทำให้สถานะของสำนักงานไม่ชัดเจน
เนื่องจากในกฎหมายเดิมระบุว่าคณะลูกเสือแห่งชาติประกอบด้วยลูกเสือทั้งปวง
ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ ผู้ตรวจการลูกเสือ และกรรมการเจ้าหน้าที่ลูกเสือ
และระบุให้มีให้มีสำนักคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติเป็นหน่วยบริหาร
จึงได้ปรับให้สำนักงานลูกเสือแห่งชาติซึ่งมีหน่วยงานนี้อยู่แล้ว เป็นนิติบุคคล
ซึ่งยังคงอยู่ในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ โดยไม่ตั้งหน่วยงานใหม่
ไม่เพิ่มงบประมาณ
6. เพิ่มระบบการตรวจสอบและการจัดทำบัญชี
เพื่อเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล
7. กำหนดให้รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการคนหนึ่งมาเป็นตำแหน่งเลขาธิการลูกเสือ
โดยไม่มีเงินเดือน
8. การบริหารค่ายเป็นไปตามหลักการบริหารแนวใหม่
มอบให้ผู้อำนวยการลูกเสือจังหวัด(ผู้ว่าราชการจังหวัด) กำกับดูแล และ
9. ให้โอนทรัพย์สิน จากคณะลูกเสือแห่งชาติ
ไปเป็นของสำนักงานคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)